8001 จำนวนผู้เข้าชม |
อราบิก้า (Arabica) กับ โรบัสต้า (Robusta) เป็นกาแฟสองสายพันธุ์หลักที่ถูกปลูกเพื่อการพาณิชย์ โดยหลายๆคนอาจจะคิดว่ากาแฟสองสายพันธุ์นี้เหมือนกัน แต่ในความจริงแล้วกาแฟทั้งสองสายพันธุ์ มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน
แล้วความแตกต่างของ อราบิกัา (Arabica) และ โรบัสต้า (Robusta) นั้นมีอะไรบ้าง มิสเตอร์คอฟฟี่ จะพาไปทำความรู้จักความแตกต่างกัน
1. ด้านรูปทรงและลักษณะของ Arabica และ Robusta
ความแตกต่างแรกที่ช่วยแบ่งแยกเมล็ดกาแฟ 2 สายพันธุ์ อาราบิก้า (Arabica) กับ โรบัสต้า (Robusta) ที่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า คือด้านรูปทรงและลักษณะ ซึ่งมีจุดแตกต่างที่สังเกตได้ ตามลักษณะดังต่อไปนี้
- เมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : รูปทรงเป็นวงรี และเส้นส่วนกลางเป็นทรงคด หรือมองเป็นรูปตัว s
- เมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : รูปทรงเป็นวงกลม และเส้นส่วนกลางเป็นเส้นตรง
2. ด้านความสูงของลำต้นและการเพาะปลูกของ Arabica และ Robusta
ด้านของลักษณะลำต้นที่มีความสูงไม่เหมือนกัน โดยแบ่งแยกได้ตามลักษณะ ดังนี้
- ความสูงของลำต้นเมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : มีลำต้นสูง 2.5-4.5 เมตร ให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟไม่ดกมาก ทั้งนี้ควรปลูกในพื้นที่สูงอยู่ระดับของน้ำทะเลขึ้นไปประมาณ 800 - 1,000 เมตร ทางภาคเหนือของประเทศไทยเช่น จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และน่าน สามารถปลูกอาราบิก้าได้ เพราะมีอากาศหนาวเย็น ทำให้เมล็ดอาราบิก้าสามารถเจริญเติบโตได้ดี
- ความสูงของลำต้นเมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : มีลำต้นสูง 4.5-6.5 เมตร สูงกว่าลำต้นของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า ให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟที่เยอะและดก สามารถปลูกได้ในพื้นที่ต่ำ หรือสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 500 - 600 เมตรเท่านั้น อาศัยอยู่ในอากาศที่ชุ่มชื้นได้ และทนความร้อนได้ดี อีกทั้งยังปลูกในพื้นที่ประเทศไทย อย่างจังหวัดในแถบภาคใต้ เช่น ระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี ซึ่งเมล็ดกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า มักนำไปผ่านกรรมวิธีเป็นกาแฟสำเร็จรูป เพราะให้ผลผลิตมากกว่าเมล็ดกาแฟทั่ว ๆ ไป
3. ด้านรสชาติของ Arabica และ Robusta
เมล็ดกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้า จะต้องมีรสชาติที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลให้คอกาแฟหลายคนต้องพัฒนาสูตรเครื่องดื่มกาแฟและคิดค้นเมนูในเข้ากับเมล็ดพันธ์ุกาแฟนั้นๆ ลำดับต่อไปเราจะมาจำแนกรสชาติของเมล็ดกาแฟ 2 สายพันธุ์นี้กันแบบเจาะลึก
รสชาติเมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติของกาแฟที่หวาน หอม และละมุน และยังมีความเป็นกรด (Acidity) และน้ำตาลที่ค่อนข้างสูง ทำให้ยังคงกลิ่นและรสชาติของผลไม้ไว้เล็กน้อย เนื่องด้วยมีคาเฟอีนและบอดี้ที่ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าเมื่อนำไปสกัดจึงดื่มง่าย ถูกปากคอกาแฟมือใหม่ มีรสชาติที่ซับซ้อนและได้รับความนิยมไปทั่วโลก
รสชาติเมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : มีสโลแกนประจำตัวว่าเข้มถึงใจ เพราะมีรสชาติเด่น ไม่ว่าจะเป็น ความขม รสชาติหนักแน่นเต็มรสชาติกาแฟ และมีติดรสฝาดเล็กๆ ทั้งนี้จึงมีกรดและน้ำตาลน้อย เนื่องด้วยคาเฟอีนที่ค่อนข้างสูง จึงนิยมไปทำกาแฟสำเร็จรูปที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป
4. ด้านการดูแลของ Arabica และ Robusta
ในเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะมีปริมาณของคาเฟอีนอยู่ที่ 0.6 – 1.4% ต่อเมล็ด ส่วนเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจะมีปริมาณของคาเฟอีนอยู่ที่ 1.8 – 4.0% ต่อเมล็ดซึ่งค่อนข้างสูงกว่าเมล็ดกาแฟอาราบิก้า เหตุเช่นนี้ทำให้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าถูกแมลงรบกวนได้ง่าย เนื่องจากมีปริมาณคาเฟอีนที่น้อย จึงต้องเก็บเมล็ดกาแฟอาราบิก้าในพื้นที่ที่มิดชิดและมีระบบสูญญากาศ ในส่วนของเมล็ดกาแฟโรบัสต้าก็ต้องเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันแมลงหรือฝุ่นสิ่งสกปรกที่อาจเข้าไปได้เช่นกัน เพื่อคงคุณค่าและคุณภาพเมล็ดกาแฟให้อยู่ได้นานๆ
5. กลิ่นกาแฟระหว่าง Arabica และ Robusta
ในด้านของรสชาติที่นอกจากจะแตกต่างกัน เมล็ดกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้ายังมีข้อแตกต่างทางด้านกลิ่นด้วย
- กลิ่นของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : จะมีกลิ่นหอมละมุน เมื่อนำมาสกัดเป็นน้ำกาแฟแล้วเมื่อได้สัมผัสถึงกลิ่นจะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และยังมีกลิ่นที่คล้ายโกโก้ ช็อกโกแลต ผสานกับกลิ่นอโรม่าอีกด้วย
- กลิ่นของเมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : มีกลิ่นที่ให้ความธรรมชาติ แบบดินหรือยางแต่ไม่เหม็น สามารถแต่งเลียนแบบกลิ่นให้หอมละมุนมากขึ้นได้
6. ปริมาณสารอาหารของ Arabica และ Robusta
เนื่องจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้ามีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดกาแฟโรบัสต้า จึงทำให้มีปริมาณไขมันดีสูง ช่วยเพิ่มพลังงานและลดระดับคอเลสเตอรอล (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณการบริโภคในแต่ละวัน)
ขอแนะนำเมล็ดกาแฟของมิสเตอร์คอฟฟี่